top of page

ส่งลูกเรียนเมืองนอกตอนอายุเท่าไหร่ดี เริ่มประถม มัธยม มหาลัย หรือรอเรียนจบแล้วไปทีเดียว

รูปภาพนักเขียน: Chut NChut N

ผู้ปกครองหลายคนมักถามทีม Hub 101 อยู่เสมอในระหว่างการปรึกษาเรื่องวางแผนเรียนต่อให้บุตรหลานว่าควรให้น้องไปเริ่มเรียนตอนอายุเท่าไหร่ดี ความคาดหวังหลักของผู้ปกครองส่วนมากคืออยากให้เด็ก ๆ สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติ มีสำเนียงสากล รวมทั้งหล่อหลอมทัศนคติความเป็นพลเมืองโลกที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมนานาชาติและความหลากหลาย นอกจากนี้หลายครอบครัวยังเล็งเห็นความแตกต่างของระบบการศึกษาต่างประเทศที่เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านการเล่น การลงมือทำ และค้นหาความชอบความสนใจส่วนตัว มากกว่าจะจำกัดกระบวนการเรียนรู้เพียงแค่การวัดผลเชิงวิชาการ


จุดหมายปลายทางที่นิยมส่งลูกไปเรียนกัน คือ ประเทศออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร (UK) นั่นเอง


หลักสูตรการเรียนการสอนของทั้งสองประเทศมีจุดร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ไม่เน้นเฉพาะวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เน้นการส่งเสริมให้นักเรียนมีพัฒนาการด้านการสื่อสาร การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ความรับผิดชอบและเห็นอกเห้นใจผู้อื่นในสังคมร่วมกัน นอกจากนี้หลักสูตรการเรียนยังมีความยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกวิชาเรียนตามความสนใจ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นวิทย์หรือศิลป์อย่างใดอย่างหนึ่ง


นอกจากนี้กิจกรรมนอกเวลาหรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายว่า “ชมรม” ก็เป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศรวมเอาไว้ในหลักสูตรนักเรียนทั้งประถมและมัธยม ไม่ว่าจะกีฬา ดนตรี โปรมแกรมมิ่ง โรโบติกส์ หรือแม้แต่การวิจารณ์หนัง โต้วาที และอื่น ๆ อีกมากมายความความสนใจของนักเรียน เด็กทุกคนจะมั่นใจว่ามีเพื่อนร่วมความสนใจไว้พูดคุยแลกเปลี่ยน ถือเป็นตัวช่วยชั้นดีสำหรับนักเรียนต่างชาติต้องการสร้างมิตรภาพกับเพื่อนใหม่ ๆ


ถึงรู้ว่าการฝึกภาษาและเรียนรู้ตั้งแต่เด็กจะเสริมพัฒนาการได้ดีกว่าตอนโตก็เถอะ แต่การส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศก็มีเรื่องให้ต้องคิดพิจารณาอีกหลายอย่าง น้อง ๆ จะดูแลตัวเองได้มั้ย ไปแล้วจะคิดถึงบ้านรึเปล่า ส่งไปแต่เด็กก็ฝึกความรับผิดชอบได้ดีนี่ หรือไปตอนเรียนมัธยมปลายดี จะสายเกินไปมั้ย จะเรียนตามเพื่อนที่นู่นทันรึเปล่า


วันนี้ผู้เขียนอยากจะขออนุญาตเปรียบเทียบทางเลือก โดยแบ่งตามช่วงอายุ และระดับการศึกษา เพื่อจะได้ใช้ประกอบการพิจารณาตามความต้องการของแต่ละครอบครัวได้ง่ายมากขึ้นด้วย



ช่วงอายุ 11-18 ปี (ระดับโรงเรียนประถมปลาย - มัธยมปลาย)


ช่วงหลายปีมานี้คุณพ่อคุณแม่ของน้อง ๆ ช่วงวัยมัธยมเริ่มนิยมส่งลูกเรียนเมืองนอกมากขึ้น ด้วยความเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาของการสร้างบุคลิกลักษณะนิสัย รวมทั้งความสัมพันธ์กับสังคมภายนอก นอกจากนี้วัยรุ่ยในช่วงอายุนี้ยังมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และพัฒนาทักษะต่าง ๆ ไปอย่างรวดเร็วด้วย

kids running in the gym

#ข้อดี ของการเริ่มเรียนต่างประเทศตั้งแต่วัยกระโปรงบานขาสั้นแบบนี้ คือ


  • ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่ได้ไวขึ้น และเรียนรู้ภาษาได้อย่างรวดเร็ว

  • ช่วยฝึกการดูแลตัวเองและความกล้า ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจากวันเด็กสู่วัยรุ่นที่อาจต้องการมีอิสระมากขึ้น ได้คิดตัดสินใจด้วยตัวเอง (ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่) มากขึ้น

  • เงื่อนไขการสมัคเรียนยืดหยุ่นกว่าช่วงมหาวิทยาลัย การสมัครวีซ่าก็ง่ายกว่าเช่นกัน ส่วนมากมักจะดูเพียงแค่ว่านักเรียนมีสุขภาพแข็งแรง และครอบครัวมีสถานะทางการเงินที่มั่นคงพอสำหรับค่าช้จ่ายการศึกษาต่อต่างประเทศ ส่วนเกณฑ์ภาษาจะค่อนข้างยืดหยุ่นทีเดียว นักเรียนเพียงแต่ต้องมั่นใจว่าสามารถสื่อสารในชีวิตแระจำวันได้ นอกจากนี้โรงเรียนที่เปิดรับนักเรียนต่างชาติจีวิชา EAL (English as Additional Language) สอนควบคู่กับโปรแกรมหลักเพื่อมั่นใจว่านักเรียนไม่มีปัญหาในการปรับตัวเข้ากับการเรียนเป็นภาษาอังกฤษด้วย

  • หลักสูตรที่เน้นเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สำรวจความสนใจด้านอาชีพ และเตรียมความพร้อมด้วยทักษะที่จำเป็นเพื่อก้าวไปสู่อาชีพนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น นักเรียนเลือกวิชาเรียตามความสนใจได้ ครูแนะแนวอาชีพที่ให้คำแนะนำตามคุณสมบัติของนักเรียนแต่ละคน รวมทั้งให้คำแนะนำในการเตรียมตัวเพื่อเสริมข้อด้อย สิ่งที่อตกต่างอีกประการจากโรงเรียนไทยคือ กิจกรรมนอกเวลาหลากหลายด้าน ช่วยให้นักเรียนได้ค้นหาความสนใจ และพูดคุยกับเพื่อนที่แชร์ความสนใจในด้านใก้เคียงกัน เปิดโอกาสไปสู่การพัฒนาและต่อยอดความคิดอย่างดี


อีกมุมนึง, นักเรียนที่ย้ายไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อยอาจต้องเผชิญความท้าทายใหญ่ ๆ อย่างน้อยซัก 2 ครั้ง คือ Culture Shock จากการเดินทางไปครั้งแรก เพราะวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากเดิม ไม่เฉพาะสไตล์การเรยีนในห้องเรียนแต่รวมถึงธรรมเนียมทางสังคมในบริบทชีวิตประจำวันด้วย ส่วนครั้งที่สองคือตอนเดินทางไทยกับหรือที่เรียกว่า Reverse Culture Shock นั่นเอง พูดง่าย ๆ ว่าเป็นมุมกลับของความเคยชินวัฒนธรรมสากล พอต้องมาเจออะไร ‘ไทยไทย’ ก็อาจทำให้ใจเป๋ไปบ้าง


ยังไงก็ตาม ไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ใจเสียกันไปซะหมดก่อน เพราะอย่าลืมว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเข้าถึงอินเตอร์เน็ทตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้เยาวชนยุคใหม่มีความรู้กว้างไกล ได้สัมผัสและเรียนรู้วัฒนธรรมจากทุกทซอกมุมของโลกได้ตั้งแต่อยุยังน้อย ดังนั้นความ ‘ช็อก’ จากการต้องเจอสภาพแวดล้อมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ก็น่าจะบรรเทาไปเพราะพอจะคาดได้ว่าการเดินทางไปศึกษาต่างประเทศจะต้องเจออะไรบ้างนั่นเอง



ช่วงอายุ 18 ปีขึ้นไป (ระดับอุดมศึกษา ทั้งสายวิชาชีพ และสายสามัญ)


ช่วงอายุนี้ถือเป็นช่วงเวลายอดฮิตของการส่งบุตรหลานไปเรีนต่ตอ่างประเทศเนื่องจากถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการเลือกเส้นทางอนาคตของชีวิตครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ที่สำคัญวัยรุ่นอายุเท่านี้ก็จะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น พร้อมที่จะค้นหาและผจญภัยท่ามกลางสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ มากขึ้นด้วย


raising hands in classroom

#ข้อดี ของการเลือกเดินทางศึกษาต่อหลังจบมัธยมปลายแล้ว เช่น


  • สามารถทำงานพาร์ทไทม์เสริมนอกเวลาเรียนได้ ถือเป็นการชิมลางบรรยากาศการทำงานของโลกผู้ใหญ่ที่ดีทีเดียว นอกจากนี้ยังถือเป็นโอกาสได้สื่อสารกับผู้คนท้องถิ่น ได้ทั้งฝึกภาษาและสัมผัสวัฒนธรรมแบบใกล้ชิด

  • นักเรียนเลือกเนื้อหาการเรียนได้ตามความสนใจ และมีโอกาสลงมือทำโปรเจคท์/การทดลอง ไม่จำกัดการเรียนรู้เพียงแค่เลคเชอร์อย่างเดียว นอกจากนี้หลายสถาบันการศึกษาต่างประเทศมักเชิญชวนผู้คนที่ประสบความสำเร็จมาแชร์เรื่องราวและสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนนักศึกษาอยู่เสมอด้วย

  • หลักสูตรมักรวมการฝึกงาน ช่วยวร้างคอนเนคชั่นกับภาคธุรกิจ เปิดเส้นทางสู่การทำงานต่างประเทศหลังเรียนจบ รวมทั้งมีเครือข่ายอาชีพระดับอินเตอร์ เสริมโปรไฟล์”ด้อย่างดีแม้ตัดสินใจเลือกกลับมาทำงานที่ไทยก็ตาม


ยังไงก็ตาม, การตัดสินใจเริ่มเรียนช่วงทางแยกสำคัญนี้ก็ทำให้การสมัครเข้าเรียนมีการแข่งขันสูง เงื่อนไขเกณฑ์การรับสมัครนักเรียนต่างชาติของมหาวิทยาลัยจะกำหนดค่อนข้างสูง เพื่อมั่นใจว่าสามารถเข้าเรียนและเข้าใจเนื้อหาระดับแอดวานซ์ตามระดับวุฒิได้เท่ากับเพื่อนร่วมชั้น นอกจากนี้นักเรียนควรจะต้องมีความรับผิดชอบและดูแลตัวเองได้ในระดับนึง ถึงแม้อายุ 18 ปีในบ้านเราจะถือเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่หลายแระเทศถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว นักเรียนอายุ 18 ปีขึ้นไปไม่จำเป็นต้องมีผู้ปกครองคอยดูแลหรือตัดสินใจเลือกอะไรให้ ต่างจากช่วงประถม/มัธยมที่ยังมีครูช่วงดูแลได้อย่างใกล้ชิด


อ่านดูแบบนี้แล้วก็น่าจะพอชั่งน้ำหนักในใจกันได้มากขึ้น ต้องบอกว่าการตัดสินใจส่งบุตรหลานเรียนต่างประเทศนั้นไม่มีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดหรือถูกต้องที่สุด เพราะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าความพร้อมของเด็ก เป้าหมายจากการเดินทางไปเรียนต่อ ระยะเวลาที่ต้องการเรียน ตลอดไปจนถึงสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเลือกเมืองที่เหมาะสม สถาบันที่เหมาะสม และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกว่าเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของสมาขิกครอบครัวอยู่เหมือนกัน


ทั้งหมดนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยากหากจะใช้เวลาในการตัดสินใจนาน แต่ทั้งนี้ทีม Hub 101 ก็มีอีกหนึ่งทางเลือกมานำเสนอคุณพ่อคุณแม่ คือ การทดลองเรียนระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรภาษาช่วงซัมเมอร์ที่มีทั้งหลักสูตรนักเรียนอายุ 6-13 / 13-17 / 18 ปีขึ้นไป เลือกระยะเวลาได้เป็นรายสัปดาห์ ตัวเลือกนี้น่าจะเหมาะกับการไปลองสัมผัสไลฟ์สไตล์ บรรยากาศเมือง และผู้คน อีกทางเลือกหนึ่งก็คือการเข้าเรียนโรงเรียนแบบ Immersive Experience หรือเข้าเรียร่วมกับนักเรียนในโรงเรียนปกติ เลือกระยะเวลาได้ตั้งแต่ 1 เดือน 1 เทอม 1 ปี แล้วแต่เงื่อนไขของโรงเรียนนั้น ๆ


kids running in the field


ใดใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรระยสั้นเพื่อทดลองเรียน หลักสูตรประถมมัธยมต่างประเทศ หลักสูตรวิชาชีพ ตลอดไปจนถึงหลักสูตรปริญญาตั้งแต่ปริญญาตรีหรือโท ก็สามารถให้ Hub 101 ช่วยดูแล เป็นที่ปรึกษาเลือกสถาบันและหลักสูตร วางแผนการเรียน รวมทั้งดำเนินการสมัครเรียนและวีซ๋า พร้อมดูแลจนจบหลักสูตรได้เลยนะคะ

Comments


Hub 101 Study สถาบันแนะแนวเรียนต่อต่างประเทศ

Mitrtown Office Tower, Level 24

(MRT Samyan Exit 2)

Pathumwan, Bangkok 10330 THAILAND

© 2025 Hub 101 Co., ltd, All rights reserved.

Phone:

Email:

Line ID:

66 (0) 81 441 8448 | 66 (0) 89 795 1933 (for English)

chut.napapat@hub101study.com

hub101study

Connect with Us:

  • Facebook
  • Line
  • Instagram
  • TikTok
bottom of page